เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อันนี้ฟังธรรม ฟังธรรม ฟังสัจธรรมนะ เวลาไม่มีธรรมะขึ้นมา เราก็ทุกข์เราก็ยากกัน เวลามีธรรมะขึ้นมา มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เราอ่านพระไตรปิฎกมาแล้วมันซาบซึ้งมาก พระอานนท์คร่ำครวญร้องไห้เลย ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ท่านต้องการให้คนช่วยแสวงหาจูงท่านไปอยู่ แล้วดวงตาของโลกดับแล้ว แม้แต่พระโสดาบันยังคร่ำครวญขนาดนั้นนะ ดวงตาของโลกดับแล้ว
เวลาท่านมีชีวิตอยู่ของท่าน ดูสิ อชาตศัตรูจะทำอย่างไร กษัตริย์ต่างๆ แว่นแคว้นต่างๆ จะทำอะไรก็ไปปรึกษาๆ ดวงตาของโลกไง ใครมีปัญหาอะไรก็ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านแก้ไขให้หมดนะ แต่เวลาท่านแก้ไข มันจะเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม ท่านจะไม่พูดตรงๆ ไง ท่านพูดเป็นอุบาย เพราะว่าถ้าพูดตรงๆ มันสร้างเวรสร้างกรรมกันไปทั้งนั้นน่ะ เราไปส่งเสริมคนคนหนึ่ง คนคนหนึ่งไปทำลายอีกคนคนหนึ่ง คนคนหนึ่งไปทำลายอีกคนคนหนึ่ง
ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว
เวลามันสว่างกระจ่างแจ้ง เราก็ต้องพยายามขวนขวายของเรา เราจะปล่อยให้ชีวิตนี้มันผ่านพ้นไปโดยที่คว้าน้ำเหลวใช่ไหม แต่เราก็ภูมิใจกันนะ เกิดมาชาตินี้ มีชีวิตรอดมาได้ชาตินี้ เช้าขึ้นมา ตื่นขึ้นมายังมีลมหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่นี่ไง เรายังภูมิใจกันอยู่ไง แต่ภูมิใจอย่างนี้มันภูมิใจแบบโลกๆ ไง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา มันน่ากลัว มันน่ากลัว เห็นไหม ชีวิตนี้สั้นนัก ชีวิตนี้สั้นนัก ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านขวนขวายของท่าน สิ่งใดไม่ให้มาขวางการประพฤติปฏิบัติเลย การปฏิบัติมันต้องเป็นทางอันเอก ทางโล่งโถงไปเลย เราต้องทำของเราไปได้เลย
เวลาคนตาบอด ไอ้คนตาบอดมันเถียงเก่งนัก เวลาตามันมืดบอด มันอวดรู้อวดเห็นไปทั้งนั้นแหละ เพราะมันคนตาบอด แล้วคนตาบอด ดูมันใช้ชีวิตสิ เราไม่ได้ดูถูก ไม่ได้ว่าเอาคนพิการมาเหน็บแนมนะ แต่เปรียบเทียบโดยบุคลาธิษฐาน คนตาบอดเขาก็ต้องใช้ชีวิตของเขา แล้วเขาใช้ชีวิตของเขาขึ้นไป เขามีความชำนาญของเขา เขามีอาชีพของเขา เขาร่ำรวยกว่าคนตาดีอีก เวลาคนตาบอดของเขา แต่คนตาบอดมันก็ต้องไปแบบอยู่ในโลกแห่งความมืดไง
แต่เวลามันหูตาสว่างขึ้นมา หูตาสว่างขึ้นมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแล้ว เป็นหนทางของเรา ถ้าเป็นหนทางของเรา คนที่มีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะทำเพื่อประโยชน์กับมันไง ถ้าเพื่อประโยชน์กับมัน หูตาสว่าง หูตาสว่าง ดูสิ เราไปบิณฑบาต หูตาก็สว่าง เดินเหยียบเศษแก้ว เดินเหยียบหนาม หูตาสว่างๆ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเอาความจริงมาจากไหน ถ้าเราไม่มีความเพียรชอบ พอหูตาสว่างมันก็สว่างด้วยเรื่องของโลกไง โลก เรื่องพระอาทิตย์ขึ้นมันก็สว่าง พระอาทิตย์ตกมันก็มืด
นี่ก็เหมือนกัน เวลามืดบอดๆ มืดบอดเป็นบุคลาธิษฐานไง แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปกปิดหัวใจของมัน ถือตัวถือตนนะว่าเราเป็นคนดีๆ ทำไมเราต้องไปวัดไปวา เราเป็นคนดีๆ ทำไมต้องมีครูบาอาจารย์
เราบอกคนดีๆ ขนาดรัฐบุรุษเขายังมีที่ปรึกษาเลย คนอะไรมันจะรอบรู้ไปทุกอย่าง แล้วเรื่องในหัวใจของเราอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องหัวใจของเรานี่แหละ มันทำสิ่งใดไม่ได้เลย หูตาสว่างๆ แต่มันมืดบอดภายในไง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปอันวิจิตร เสียงอันวิจิตร ของที่ดีเลิศขนาดไหนไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหาก ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากคือกิเลส แล้วมันปิดบังหัวใจอันนั้นไว้ ถ้าปิดบังหัวใจอันนั้นไว้ เขาสว่างกระจ่างแจ้งกัน พระอาทิตย์ขึ้น เขาสว่างกระจ่างแจ้งกัน ไอ้เรามีแต่มืดบอดในใจของเรา ถ้าเรามืดบอดในใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา
เวลาถ้าธรรมมันเกิดแล้วๆ เราจะขวนขวายของเรา ขวนขวายของเราคือศรัทธาของเราไง คือสติปัญญาของเราไง คือเปิดหัวใจของเราไง ดูสิ คนเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เขาทำเพราะอะไร เพราะเขาจงใจของเขา เขามีศรัทธาของเขา เขาหมั่นเพียรของเขา ไอ้เราไอ้คนทั่วไป เราเคย เราเคยโดนชาวบ้านเขาแซว วันๆ ไม่เห็นทำอะไร เห็นเดินไปเดินมา
เขาพูดด้วยความอาจหาญของเขานะ เขาพูดด้วยความอาจหาญของเขา ดูสิ พระไม่เห็นทำอะไรเลย วันๆ เห็นมันเดินไปเดินมานั่นน่ะ
เขาเดินจงกรมนะ ถ้าเป็นทางของเรา ครูบาอาจารย์ท่านส่งเสริม ท่านพยายามกระตุ้นให้พวกเราฝึกหัดภาวนา เพราะเวลาฝึกหัดภาวนาเพื่อโอกาสของเราไง เราทำงานๆ อยู่ งานมันจะถูกจะผิดมันอยู่ที่การกระทำ
นี่ก็เหมือนกัน เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเราอยู่ เราทำงานของเราอยู่ ทำงานของเราอยู่ ถ้ามันจะผิดจะถูกมันอีกเรื่องหนึ่งนะ คนทำงานมันจะถูกจะผิด มันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องดีงาม อันนั้นถ้ามันเป็นความถูกต้องดีงามขึ้นมามันก็เป็นคุณธรรมใช่ไหม แต่ถ้ามันทำของมันแล้วมันยังผิดพลาด มันยังไม่ได้ที่ได้ทางของมัน ดูสิ ดูผลไม้เขาไปเก็บเนื้ออ่อนแล้วเอามาบ่ม มันก็เน่าเสียหมด ผลไม้มันจะเอามาบ่มได้ต่อเมื่อมันแก่ มันแก่ มันสมควรที่เก็บมาบ่มได้
นี่ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนาของเรา การกระทำของเรามันจะสมควรของเราหรือไม่ ถ้าสมควรของเราหรือไม่ เราก็ขวนขวายของเรา การขวนขวายนั้นน่ะ ขวนขวายนั้นก็ประโยชน์เราทั้งนั้นน่ะ แล้วมันจะถูกจะผิดมันอีกเรื่องหนึ่งไง
นี่พอหูตาสว่าง หูตาสว่างแล้วไง แล้วถ้าหูตาสว่างมันก็สำคัญตนอย่างนั้นน่ะ มานะ ๙ เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา สูงกว่าเขาแท้ๆ ก็สำคัญตนว่าสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา มันไปสำคัญตนๆ พอสำคัญตนๆ ขึ้นไปมันก็ส่งออกทั้งนั้นน่ะ พอสำคัญตนขึ้นไปมันก็ผิดทั้งนั้นน่ะ
ทีนี้พอความสำคัญตน มานะ ๙ มันเกิดมานะทิฏฐิในหัวใจของมัน แล้วปฏิบัติมันจะได้อะไรล่ะ ก็ได้ทิฏฐิมานะอันนั้นน่ะ คาบคัมภีร์ไปอวดกัน เอาคัมภีร์มาแล้วก็มาเหน็บแนมกัน แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
ศึกษามาๆ สาธุ ศึกษาในภาคปริยัติ คนเรา โลกจะเจริญด้วยการศึกษา โลกต้องใช้ปัญญาทั้งนั้นแหละ เราก็มีการศึกษามาเหมือนกัน แต่ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ศึกษามาเพื่อแสวงหา มาพยายามค้นคว้าตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากเป็นกิเลส แล้วก็ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราต่างหากเป็นกิเลส เรามาค้นคว้าๆ มานี่ไง
ธรรมะ สัจธรรม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ สันติภาพ ทุกๆ คนพยายามแสวงหา ทุกคนพยายามกระทำ กระทำในใจของเรานี่แหละ ทำในใจของเรา ทำให้มันได้ พิจารณาให้มันได้ขึ้นมา เห็นไหม มันมีโอกาส
การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านแสดงธรรม เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก ไอ้เราก็ว่าแสนยากที่ไหน ล้นโลกอยู่แล้ว มันแสนยากตรงไหน ถ้าแสนยาก ดูสิ ไปดูสัตว์ ดูฟาร์มต่างๆ ดูสิ อายุมันเท่าไร แล้วเราไปเกิดอย่างนั้นๆ
เวลาครูบาอาจารย์ หลวงปู่จันทา เวลาท่านจิตสงบ ท่านเห็นเป็นครอบครัวๆ เลย เดินเข้าไปในฟาร์มสัตว์ๆ เดินเข้าไปเป็นครอบครัว เห็นจิตวิญญาณเดินเข้าไปเลย เข้าไปในนั้นเลย พอเข้าไปในนั้นมันก็ไปอยู่ตู้ฟักไง ออกมาเป็นสัตว์ปีกไง ออกมาแล้วก็ให้เขาเชือดไง แต่เจ้าตัวไม่รู้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร ใครกระทำมาอย่างไร
นี่ไง เกิดเป็นมนุษย์แสนยากๆ ถ้าเกิดมาแล้วเรามีโอกาสขึ้นมา ถ้าหูตามันสว่างมันต้องสว่างภายในของเรา ถ้ามันสว่างภายในของเรา แล้วทางสว่าง ทางกระจ่างแจ้ง เดินไปยังเหยียบขวากเหยียบหนาม การประพฤติปฏิบัติมันจะเอาง่ายๆ มาจากไหน เขาทำงานทางโลกเขา เขายังมีอุปสรรคของเขา อุปสรรคของเขา ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมายังมีคนมาช่วยเหลือจุนเจือ ไอ้การประพฤติปฏิบัติของเรา ใครจะช่วยเหลือจุนเจือล่ะ
ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะนะ มันจะมีพระหนุ่มๆ อยู่องค์หนึ่งจะมาหาเรา ถ้าพระองค์นั้นต่อไปจะเป็นประโยชน์ นี่ท่านรู้ตั้งแต่ต้น ท่านรู้ตั้งแต่ต้น เวลาหลวงตาเข้าไปหาท่าน เวลาหลวงปู่เจี๊ยะว่าพอพระองค์ไหนเข้ามา ใช่องค์นี้ไหม
ไม่ใช่
ใช่องค์นี้ไหม
ไม่ใช่
เวลาหลวงตาเข้าไป ใช่องค์นี้ไหม
เงียบเลย เงียบเลย แล้วก็ฝึกฝนมาๆ ดูสิ คนเหมือนไม้ดิบๆ หลวงตาเวลาท่านพูดถึงชีวิตของท่านนะ ชีวิตของท่าน คนประสบการณ์ทำสิ่งใดมันจะรู้ของมัน ท่านจบมหามา ท่านจบมหามาแล้ว คาบคัมภีร์กันมาทั้งนั้นน่ะ แล้วพอคาบคัมภีร์กันมา นิพพานมันจะมีจริงหรือเปล่า
เวลาศึกษา เวลาศึกษาเป็นทางวิชาการ ทุกคนก็วิชาการมันอยู่ข้างนอก มันวิเคราะห์วิจัยได้หมดแหละ เวลาเราต้องเป็น เอ๋อๆๆ เอ๋อทันทีเชียว
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาละล้าละลังเลย มันจะได้หรือไม่ มันจะมีหรือไม่มี ศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเป็นมหานะ ดูสิ เวลาบวชใหม่ๆ ขึ้นมา พอพูดถึงว่าศึกษาขึ้นมา อ๋อ! คนทำบุญได้เป็นเทวดา อยากเป็นเทวดา ศึกษาต่อไป พรหมมันดีกว่าเทวดา จะไปพรหม ศึกษาถึงนิพพาน ศึกษาทางวิชาการมา แล้วสังคมไทย ๒,๐๐๐ กว่าปีขึ้นมาเขาศึกษากันมาอย่างนั้น การศึกษา การศึกษาทำให้คนมีสติปัญญาไง แต่เขาศึกษามาเพื่อปฏิบัติ แต่เวลาจะปฏิบัติขึ้นมา รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส เวลาใครจะเข้าทางจงกรม จะนั่งสมาธิภาวนา นี่แหละจะเผชิญหน้ากับมันแล้ว กลัวแล้ว หวั่นไหวแล้ว แล้วจะจริงหรือไม่จริง
ดูสิ เวลาไปถึง หลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ยังไม่มานู่นน่ะ เวลามาแล้วทะนุถนอม ความทะนุถนอมของท่านนะ ดูสิ หลวงตาท่านบอกเลย ผิดหัววัดท้ายวัด มหาคนเดียว ผิดหัววัดท้ายวัดมหาคนเดียว ท่านถนอมอย่างนี้ใช่ไหม ทะนุถนอม ทั้งวัดลงมหาอยู่คนเดียว นี่ทะนุถนอมหรือ
นี่ไง ทะนุถนอมเพื่อจะปั้นขึ้นมาไง เพื่อจะทำให้เป็นศาสนทายาทไง มันต้องมีประสบการณ์ไง แม้แต่ทางโลกก็ต้องเผชิญกับสังคม แล้วเผชิญกับในหัวใจ หัวใจที่ปฏิบัติขึ้นไป มันไปเผชิญหน้ากับกิเลส มันไม่รู้จักกิเลสไง ไปยอมจำนนกับมัน พอจิตสว่างขึ้นไป อู้ฮู! มันทะลุปรุโปร่ง จิตนี้มหัศจรรย์มาก โอ้โฮ! จิตของเราทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ ทำไมมหัศจรรย์ขนาดนี้ ธรรมะจะมาเตือนเลย นี่ไง เวลาเผชิญกับมันยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลสนะ แสงสว่างต่างๆ เกิดจากฐีติจิต เกิดจากจุดและต่อม
งงไปหมดเลย เราเข้าไปเจอกิเลส เรายังไม่รู้จักมัน ไปยอมจำนนกับมัน ไปเฝ้ามัน ไปทะนุถนอมมัน ไปรักษามันอยู่นั่นน่ะ รักษามันเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักมัน แล้วมันมหัศจรรย์ กิเลสนี้มหัศจรรย์เลย แล้วเวลาคนจะบอกให้เข้าใจได้จะทำอย่างไร จะทำอย่างไรให้คนคนนั้นเข้าใจได้ นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านดูแล ท่านรักษาของเรามา เวลาดูแลรักษามา หูตากระจ่างแจ้ง
แล้วเวลาอยู่ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านติดสมาธิอยู่ ๕ ปี อยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร เป็นพระอรหันต์ แล้วท่านก็อยู่กับพระอรหันต์ แล้วจิตใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติอยู่ เราขวนขวายของเราอยู่ ติดอยู่อย่างนั้น ๕ ปี สมบุกสมบันอยู่อย่างนั้นน่ะ ละล้าละลังๆ ไปได้ ไปไม่ได้ สมบุกสมบันกัน นี่พูดถึงว่าเวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่วงกรรมฐานๆ
ฉะนั้น โยมจะเอาสิ่งใดมาที่มันประเสริฐเลอเลิศขนาดไหน มันเป็นศรัทธาของโยม แต่พระเราจะต้องอยู่ในกรอบก็เพราะนี่ไง เพราะเทศน์อยู่นี่ อยู่กับหลวงตา เวลาวันไหนอาหารดีๆ ขึ้นมาท่านจะพูดประจำ คำพูดนี้เราจำแม่นเลย แล้วเรารู้เลยท่านพูดเพื่อเหตุใด แต่พระจะเข้าใจไม่เข้าใจนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะพระ ระดับของวุฒิภาวะมันแตกต่างกัน
เวลาวันไหนถ้าอาหารมันเยอะมานะ ท่านจะพูดเลย สมัยอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ไปบิณฑบาตกลับมา สมัยธุดงค์ มันได้น้ำพริกมาถุงเดียวเล็กๆ แล้วพระ ๕-๖ องค์มันไม่พอกิน ต้องเอาน้ำพริกไปใส่กะลา มันไม่มีภาชนะ เขาใช้กะลาทำให้สะอาด เอาน้ำพริกไปใส่แล้วเติมน้ำเยอะๆ มันจะได้ตักออกคนละช้อนไง แล้วเวลาบอกว่าฉันพอเป็นขี้ คือให้ลำไส้มันมีอาหารได้ย่อยเท่านั้นน่ะ
คำเตือนอย่างนี้ท่านเตือนพระ เวลาอาหารเยอะท่านจะบอกว่า เอ้ย! คนนั้นทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนี้ ท่านไม่บอก แต่ท่านจะบอกเลยว่าขณะที่ท่านออกธุดงค์อยู่ เวลามันวิเวกไป มันไม่มีสิ่งใดมา เวลามันได้สิ่งใดมา ได้มา ได้น้ำพริกมาถ้วยหนึ่ง แล้วพระ ๕ องค์ ๑๐ องค์มันไม่พอแบ่งกัน เอาไปใส่ภาชนะไว้แล้วเติมน้ำลงไป คนๆๆ พอให้มันได้พอตักแจกให้มันพอ
ท่านเตือนสติไง ของที่มันมากมายอย่างนั้นน่ะ ฉันเข้าไปแล้วมันจะเกิดความง่วงเหงาหาวนอน ฉันเข้าไปแล้วมันจะไปขัดแย้งกับการภาวนา แม้แต่ท่านเป็นพระหนุ่มๆ ขึ้นมา เวลาท่านได้นมได้เนยมา ท่านบอกฉันไม่ได้ ฉันแล้วมันไปกระตุ้น ไปกระตุ้นกิเลสให้มันฟูขึ้นมา นี่ไง เวลาวิธีการประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องอดนอนผ่อนอาหาร มันต้องฉันด้วยสติด้วยปัญญา ดำรงชีวิตนี้ไว้ แต่ด้วยศรัทธาของญาติโยมนะ มีสิ่งใดเขาก็จะมาเชิดชูไง
ฉะนั้น ด้วยศรัทธา ด้วยจินตนาการของโยมก็เรื่องหนึ่งนะ ถ้าพระของเรา ตักของเรา ดูแลของเรา ให้เห็นใจพระเหมือนกัน พระกับโยมไม่เหมือนกัน หน้าที่ของโยมทำบุญกุศลมันก็เป็นบุญของเราใช่ไหม คนที่จิตใจสูงส่งก็อยากให้บุญเขาประณีต บุญเขาดีงาม เขาก็ต้องขวนขวายของเขาด้วยกำลังของเขา
ไอ้พระเราฉันเข้าไปแล้วมันธาตุขันธ์ ลงไปแล้วมันก็ไปกระตุ้นต่างๆ เขาก็มีสติปัญญาตักใส่บาตรแล้ว เวลาจะฉันต้อง ปฏิสงฺขา โยฯ ใครไม่ ปฏิสงฺขา โยฯ ก่อนฉันเป็นอาบัติทุกกฏ จะกินข้าวต้องพิจารณาก่อนว่าข้าวมันบูดมันเน่า ข้าว ธรรมวินัยให้พิจารณาอย่างนี้ แล้วเราจะมาเชิดชูหรูหราอะไรกันมากมายอย่างนั้น นี่ไง วัดปฏิบัติมันก็ต้องรู้อย่างนี้
เวลาหลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์ไว้กับหลวงปู่เจี๊ยะ เราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังหลายรอบมาก เวลาอยู่กับท่าน เหมือนท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ ต่อไปจะทำประโยชน์กับสังคมมาก เหมือนท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ
เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ผ้าผ่อนท่านดูแลหมด เวลาพระเข้ามา ไม่มีใครกล้า ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หลวงปู่มั่น แต่หลวงปู่เจี๊ยะถามว่า ใช่องค์นี้ไหม
ไม่ใช่
ใช่องค์นี้ไหม
ไม่ใช่
จนหลวงตาเข้าไป ใช่องค์นี้ไหม
ไม่พูดนะ เงียบกริบเลย แต่ฟังหลวงตาท่านเล่าให้ฟังสิว่าท่านสมบุกสมบันมาขนาดไหน การสมบุกอย่างนั้นก็คือการกระทำไง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล พวกเราไม่เคยฝึกหัดอะไรกันเลย แล้วจะบอกว่ามีประสบการณ์มาก บอกว่ามีเชาวน์ปัญญามาก พวกเราไม่มีประสบการณ์อะไรกันเลย ฟังเขาเล่ามาทั้งนั้นน่ะ
เราจะมีประสบการณ์ เราจะรู้สิ่งใด เราต้องมีการประพฤติปฏิบัติสิ เราต้องเข้าไปเจอกิเลสตัณหาความทะยานอยากสิ ต้องเข้าไปปะทะกับมัน ต้องต่อสู้กับมันสิ เราได้ทำมา พอได้ทำมาแล้ว หลวงปู่มั่นท่านไม่กลัวใครเลย ถ้าใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครมีปัญหาขึ้นมาให้ถามท่านได้ตลอดไปเลย
หลวงตาเวลาท่านพูดของท่าน ถามให้จนสิ ถามให้จน ถามท่านให้จน เพียงแต่ท่านไม่ตอบเอง ไม่ตอบเพราะอะไร เพราะคำถามของเรามันไร้ค่า คำถามของคนถามมันหน่อมแน้ม มันไม่มีสาระ แต่อวดอยากถาม แต่ถ้าความเป็นจริงมันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริงขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์
นี่พูดถึงว่าถ้ามันมืดบอดมันก็มืดบอดไปอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันหูตาสว่างขึ้นมา มันเห็นด้วยสติด้วยปัญญานะ เราจะไม่มีความขัดแย้งใดๆ กันทั้งสิ้น เวลาพระของท่าน พระท่านก็บิณฑบาตของท่านมาแล้ว สิ่งใดที่ตกบาตรของท่านมาเป็นสิทธิของท่าน เวลาท่านตักอาหารใส่บาตร ท่านก็คอยระมัดระวังไม่ให้กิเลสของท่านฟูขึ้นมา มันเป็นความเข้มแข็งนะ มันเป็นเรื่องของสติ มันเป็นเรื่องของสติปัญญาของท่านที่ท่านพยายามจะรักษาตัวท่าน นี่พูดถึงว่าสิทธิของท่าน เราอย่าก้าวล่วง เราอย่าก้าวล่วง
เราทำบุญของเรา เราได้ถวายแล้ว ได้ถวายแก่สงฆ์แล้ว สงฆ์รับแล้ว อันนั้นบุญกุศลของโยมเต็มที่เลย แต่สงฆ์รับแล้วสงฆ์ก็ต้องพิจารณาของท่านที่ท่านจะใช้สอยของท่านอย่างใด ใช้สอยของท่านไม่ใช่เพื่อมักมากอยากใหญ่ทั้งนั้นน่ะ เพื่อกำจัดกิเลสในหัวใจของเรา เวลามันเดือดร้อน โยมก็เคยทุกข์ใช่ไหม เวลาเศร้าโศกขึ้นมาในใจมันขนาดไหน เวลากิเลสมันย่ำยีหัวใจมันทุกข์ขนาดไหน
นี่เหมือนกัน หน้าชื่นอกตรมไง เวลาหน้ามันรื่นเริงเชียว แต่พอเวลาอยู่คนเดียวคอตก นั่งอยู่คนเดียวคอตกเชียว นี่ไง แต่ถ้าท่านมีสติปัญญาของท่าน ท่านไม่ตามใจลิ้นตามใจปากของท่าน เวลาท่านทำของท่าน เวลาไปอยู่ของท่านคนเดียว ท่านรื่นเริง ท่านอาจหาญ ท่านนั่งสมาธิภาวนาของท่านด้วยความสว่างไสว ท่านเดินจงกรมของท่านด้วยความพึงพอใจของท่าน สาธุ เราทำกันอย่างนั้น เราทำกันอย่างนั้นไง
นี่ไง ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกหลวงตา มหาๆ พรรษาเยอะแล้วไม่ต้องขึ้นมา ให้พระเล็กพระน้อยมันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไปไง ถ้าข้อวัตรติดหัวใจ เวลาระลึกถึงคำพูดของท่าน เวลาระลึกถึงคำสั่งสอนของท่าน มันสะเทือนใจๆ พอสะเทือนใจ เวลากิเลสมันยุมันแหย่มันจะไปแล้วนะ นู่นก็ดี นี่ก็ดี อู้ฮู! คนนู้นก็สรรเสริญ คนนู้นก็เยินยอ โอ๋ย! ลอยหมดเลยนะ พอระลึกถึงท่าน แฟบเลย
ครูบาอาจารย์ของเราไม่ทำแบบนี้ ครูบาอาจารย์ของเราไม่ทำแบบนี้ แล้วครูบาอาจารย์ของเราที่ไม่ทำแบบนี้ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่เชิดชูน่าเคารพทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีชื่อเสียงในสังคม สังคมยกย่องสรรเสริญ นั้นเป็นครูบาอาจารย์ของสังคมเขา ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเรา ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของเราโดยข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ท่านสั่งสอนเรามา นั้นคือครูบาอาจารย์ของเรา
ถ้าครูบาอาจารย์ของสังคม ให้สังคมเขายกย่องสรรเสริญของเขาไป แต่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเรา เอวัง